วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มาเติมพลังให้ร่างกายกันดีกว่า

     ร่างกายต้องการอะไร ใครรู้บ้าง !!!!!!!

     สำหรับคนรักสุขภาพต้องรู้แน่ๆ ว่า ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการอะไร แล้วเค้าเหล่านั้นก็จะตอบสนองความต้องการของร่างกายได้อย่างพอเหมาะพอดี แต่ถ้าใคไม่รู้เราก็ต้องเริ่มที่จะศึกษาเอาไว้บ้าง เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
     ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า ใน 1 วันเราต้องใช้พลังงานไปกับกิจกรรมอะไรบ้าง แล้วเราก็จะสามารถเติมเต็มพลังงานที่เราต้องการเข้าไปให้พอได้ 
     แต่วันนี้เรามาดูกันเล่นๆ ดีกว่า ว่าในอาหาร 1 อย่างที่เราจะกินเข้าไป ควรมีพลังงานเท่าไรถึงจะเรียกว่าพอดี
     1. ไขมันอิ่มตัว ไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของไขมัน  ใน 1 วัน บริโภคได้ 20 กรัม หรือน้อยกว่านั้น ก็ได้
     2. ไขมนทรานส์ น้อยกว่า 20 กรัม ในแต่ละมื้อ  ใน 1 วัน บริโภคได้ 20 - 35 % ของไขมันทั้งหมด จะอยู่ในพวกขนมอบกรอบทั้งหลาย เช่น แคร็กเกอร์ บิสกิต เป็นต้น
    2 อย่างนี้ ช่วยทำให้หัวใจแข็งแร็ง (อกหัก รักคุด ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ) 

     3. แคลเซียม 200-300 มิลลิกรัม ต่อหน่วยบริโภคนะ  ใน 1 วัน ควรบริโภค 1,000 มิลลิกรัม
 แต่ ถ้าผู้หญิงอายุต่ำกว่า     50 ปี  ควรได้รับ   1,000  มิลลิกรัม
      ถ้าผู้หญิงอายุมากกว่า   51 ปี   ควรได้รับ  1,300  มิลลิกรัม
     4. วิตามิน ดี  ควรจะได้รับวันละ 800 IU  
      ข้อนี้หาได้ง่ายๆ แบบว่าไม่ต้องลงทุนเลย แค่คุณหาเวลาไปโดนแสงแดดยามเช้าบ้าง แต่ระวังแดดแรงนะคะ จะทำให้เป็นอันตรายต่อผิวหนัง สำหรับใครที่กลัวว่าผิวจะคล้ำจากการโดนแดด ก็ระวังจะเป็นโรคขาดวิตามินดีนะจ๊ะ  
     ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว เค้ามีวิตามิน ดี สังเคราะห์มาทดแทนให้ หาได้จาก เนยมาการีน นั่นเอง แต่จะเอาแบบธรรมชาติ ก็พวกปลาแซลมอน และปลาซาร์ดีน เป็นต้น
     2 อย่างนี้ จะช่วยในการบำรุงกระดูกนะจ๊ะ

     5. โอเมก้า 3  ควรได้รับ 800 มิลลิกรัม ต่อวัน
     หาได้จากการบริโภควีเรียล ไข่ ขนมปัง (ไม่ขัดขาว) และน้ำผลไม้ อาหารทะเลก็ได้ แต่ต้องกินเป็นประจำนะ
     6. ธาตุเหล็ก 1.8 มิลลิกรัม ต่อ หนึ่งหน่วยบริโภค  ใน 1 วัน ควรได้รับ 18 มิลลิกรัม
  แต่ ถ้าผู้หญิงอายุต่ำกว่า     50 ปี  ควรได้รับ   18 มิลลิกรัม
      ถ้าผู้หญิงอายุมากกว่า  51 ปี  ควรได้รับ  8 มิลลิกรัม
 2 อย่างนี้ จะช่วยในเรื่องความจำนะจ๊ะ

     7. โฮลเกรน น้ำตาลต่ำ ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกแบบมีธัญพืชผสมด้วย จะดีมาก เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และลูกเดือย (แป้งไม่ขัดขาวนะ) 
     8. โปรตีน ได้จาก นม เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากไข่ และถั่ว ใน 1 วัน ควรได้รับ 0.8 - 1 กรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม
2 อย่างนี้ จะช่วยเพิ่มพลังในการใช้ชีวิตประจำวันนะจ๊ะ

สำหรับสาวๆ ที่ต้องการผอมได้ตลอดเวลา เชิญทางนี้

     1. กิโลจูล หลายคนคงงงว่า "กิโลจูล" คืออะไร เรามารู้กันก่อนดีกว่า
     คำว่าแคลอรี่นี่ต้องแยกนิดนึงนะครับว่า เป็น Calorie หรือ calorie โดยที่ 1 Calorie (Cal) = 1 kilocalorie (kcal) ในอเมริกาถ้าพูดถึงแคลอรีในทางโภชนาการจะหมายถึง Calorie ครับ (เวลาอ่านจาก Nutrition Fact จะเป็นหน่วยนั้น) แต่ในฉลากข้อมูลโภชนาการชองไทย เราจะใช้ calorie ครับ
     ทั้ง calorie, Calorie, และ joule เป็นหน่วยวัดพลังงานเหมือนกัน joule เป็นหน่วยสากลในระบบเมตริกและ SI  ส่วนแคลอรีเป็นหน่วยในระบบเก่า ซึ่งปัจจุบันมีความเป็นสากลน้อยกว่า ดังนั้นในหลายประเทศจึงพยายามหันมาใช้หน่วยเมตริกหรือ SI กันมากขึ้น จึงปรากฏหน่วยกิโลจูลให้เห็น

1 จูล มีค่าประมาณ:
  • 0.239 แคลอรี(calorie) (small calories)
  • 2.390 × 10−4 แคลอรี่หรือกิโลแคลอรี (อาหาร)     
และใน 1 วัน เราควรได้รับ 6,500 กิโลจูล 
     2. ไฟเบอร์ 1 มื้อ ควรมีไฟเบอร์ให้มาก หรืออย่างน้อย ต้องไม่ต่ำกว่า 6 กรัม  ใน 1 วัน ควรได้รับ 25 กรัม 
     3. คาโบโฮเดรต  ควรเลือจากอาหารที่มีน้ำตาลต่ำนะคะ จะหาได้จาก ขนมปังไม่ขัดสี ถั่ว ผลไม้แห้งจากธรรมชาติ

สุขภาพที่ดี
 ตัวอย่างฉลากขนม ที่แจ้งให้เราทราบข้อมูล การบริโภค

     เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราก็เลือกที่จะกินอาหารตามที่ร่างกายต้องการได้แล้ว โดยถัวคติว่า
"กินเพื่ออยู่นะจ๊ะ  ไม่ได้อยู่เพื่อกินจร้า"   
     ถ้าเรารู้จักเลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ ก็จะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี และไม่ต้องกลัวอ้วนอีกด้วย  





*****
อ้างอิง      นิตยาสาร Women'sHealth
                http://th.wikipedia.org/wiki/จูล
                http://www.atriumtech.com

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ภัยร้ายในเครื่องสำอางค์

เตือนภัยวันนี้ เครื่องสำอางค์พบสารปนเปื้อน

     คุณผู้หญิงที่รักสวย รักงามทั้งหลาย รวมทั้งคุณผู้ชายด้วยนะคะ ในปัจจุบันนี้ ทาง อย.ได้ทำการตรวเข้มเกี่ยวกับเครื่องสำอางค์เป็นอย่างมาก จึงทำให้พบว่าในเครื่องสำอางค์ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั้นได้มีสารเคมีปนเปื้อนเป็นจำนวนมาก และหลายยี่ห้อ  และยังมีที่ยังไม่ได้ตรวจอีกมากมาย
     ในภาพรวมจะทำให้เรามองได้หลายแง่ ว่าสารเคมีที่ตรวจพบนั้น มาจากการไม่ได้ตั้งใจของผู้ผลิต หรือว่าตั้งใจผลิตสินค้าออกมาโดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับผู้บริโภค ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตขอให้นึกถึงข้อดี และข้อเสียที่จะเกิดกับผู้บริโภคก่อน ไม่ใช่คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตน

     ตัวอย่าง สารเคมีที่ตรวจพบในเครื่องสำอางค์ 
     1. ปรอท <Mercury>    พบมากในเครื่องสำอางค์
     2. PVP <Polyvinylpyrrolidone>  พบมากในน้ำยสเปรย์แต่งผม
     3. ตะกั่ว <Lead> พบมากในเครื่องสำอางค์
     4. เฮกซ่าคลอโรฟีน <Hexachlorophene> พบมากในแป้งและสบู่
     5. ไฮโดรควิโนน <Hydroquinone> พบมากในครีมลอกผ้า
     6. โซเดียมลอริลซัลเฟต <Sodium Lauryl Sulfate> พบมากในแชมพู สบู่หรือยาสีฟั
     7. กรดวิตามิน เอ <Retinoic Acid> พบมากในผลิตภัณฑ์รักษาสิว
     8. มิเนรัลทัลค์ <Mineral Talc> เป็นส่วนผสม 90 % ของแป้งฝุ่น อายเชโดว์ แป้งเด็ก และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเล้น
     9. ฟอร์มัลดีไฮด์ <Formaldehyde> เป็นส่วนผสมของน้ำยาทาเล็บ สบู่ และครื่องสำอางค์ทั่วไป
     10. สเตียรอยด์<Steroids>

     จากตัวอย่างสารเคมี 10 อย่าง มีถึง 4 อย่างที่พบได้ง่ายๆ ในเครื่องสำอางค์ และยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภค เราควรใส่ใจกันนิดหนึ่ง  เกี่ยวกัข้อดี และข้อเสีย ที่เราจะได้รับ เช่น 

     - การอ่านฉลากให้ดีและถี่ถ้วน 
     - ควรซื้อของที่มีคุณภาพ มีแหล่งผลิตที่ได้มาตราฐาน 
     - มี อย.รับรอง
     - อย่าหลงเชื่อ คำโฆษณาชวนเชื่อให้มาก อย่างเป็นฝ้ามาหลายปี ใช้ครีมแค่ 7 วันหาย  น่าเชื่อหรือเปล่า !!!!
     - ของถูก ควรระวังให้มากๆ  ถูกด้วย ดีด้วย จะมีมั้ยในโลก  
   
     "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" จากสุภาษิตนนี้คงไม่มีใครเถียงได ถ้าเราจะสวย เราต้องสวยอย่างปลอดภัย และสวยอย่างฉลาดด้วย เพื่อที่ความสวยจะได้อยู่กับเรานาน อย่าลืมนะคะ ความสวยก็เกิดได้จาก การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ  เพียงแค่นี้ คุณก็สวยได้ไม่ต้องกลัวแล้ว

ความสวยความงาม





*****
อ้างอิง    นิตยาสาร Lisa

ขอขอบคุณ   ภาพจาก Internet 
      
       

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ไวอากร้าไทย" ยอดทะลุ 20,000 ในเวลาไม่ถึงเดือน

ของไทย สู้ของนอก ไม่ถึงเดือนยอด 20,000 

  หลังจากองค์การ เภสัชกรรม (อภ.) ขอขึ้นทะเบียนผลิตยาสามัญของยาซิเดนาฟิล หรือยารักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า ซิเดกร้า  กับองค์การอาหารและยา (อย.) 
     และได้เริ่มจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 ทำให้มียอดจองไปแล้วถึง 20,000 เม็ด  จากปกติคนไทยจะใช้ประมาณ 1 ล้านเม็ดต่อปี

สุขภาพ

     ด้วยลักษณะของ ยาซิดกร้า เป็นเม็ดเคลือบสีฟ้า รูปข้าวหลามตัด และที่สำคัญมีราคาไม่แพง  ขนาดบรรจุ แผงละ 4 เม็ด และมี 2 ขนาด

     ขนาด 50   ม.ก.     ราคาเม็ดละ 25 บาท      ราคาแผงละ 100 บาท
     ขนาด 100 ม.ก.     ราคาเม็ดละ 45 บาท      ราคาแผงละ 180 บาท

     ซึ่งมีราคาถูกกว่า ไวอากร้าของนอก มากกว่า 10 เท่า  โดยมีการบรรจุ และขนาดยาเท่ากัน จะมีราคา

     ราคาแผงละ 2,100 บาท  ในขนาด 100 ม.ก.
     ราคาแผงละ 1,600 บาท   ในขนาด  50 ม.ก.
     
     และเป็นที่ยอมรับกันว่า ยาซิเดกร้า ของไทย และยาไวอากร้าของนอก มีสรรพคุณเหมือนกัน ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
     หลังจากที่ประเทไทยได้มีการผลิตยาซิเดกร้า ขึ้นเองทำให้คนไทยได้เข้าถึงยามากขึ้นเพราะมีราคาที่ถูกลง ช่วยลดปัญายาปลอมได้ 

     ยาซิเดกร้า หาซื้อได้ที่ร้านขายยาแผนปัจจุบัน แต่ต้องได้รับการสั่งจากแพทย์เท่านั้น  

     ถึงจะมียาช่วยรักษาได้ แต่ก็คงไม่เหมือนกับการรักษาสุขภาพให้ดี ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ ลดความเครียด งดการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารให้มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้คุณผู้ชายทั้งหลายก็ แข็งแรงได้ โดยไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไป นะคะ




*****
อ้างอิง     นิตยาสาร Lisa
              http://www.matichon.co.th


ขอขอบคุณ  ภาพจาก Internet

 

    

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โรคระบาด กับช่วงปลายฝนต้นหนาว

โรค

การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐที่แท้จริง
      ถ้าพูดถึง ปลายฝนต้นหนาว ก็จะรู้ได้เลยว่า สภาพอากาศค่อนข้างจะแปรปวน เพราะในหนึ่งวันอาจมีครบทุกฤดูก็ว่าได้ ไม่ว่าจะหนาวในช่วงเช้า ร้อนตอนกลาง หรืออาจจะมีฝนตกและลักษณะอากาศจะมีควมชืนสูงจึงทำให้การเพาะพันธุของเชื้อโรค เชื้อไวรัส และแคทีเรียต่างๆ เป็นไปได้ดีมาก และมีการแพร่กระจายได้ดี

     1. โรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ 
     ถือได้ว่าโรคนี้เป็นนักฉวยโอกาศ เพราะถ้าร่างกายของเราเริ่มอ่อนแอเมื่อไร โรคพวกนี้จะเกิดกับเราทันที่ โรคนี้จะเกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย และมีการแพร่กระจายได้เร็วมากเพียงแค่ การจาม หรือการไอ 
     การป้องกัน ก็แค่เรารักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทำร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ ต้องขยันล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องการเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย จากการหยิบอาหารกิน ถ้ารู้สึกว่าเป็น ให้พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำเยอะๆ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี

     2. โรคไข้เลือดออก
     ช่วงนี้ถือว่ายังไม่ปลอดภัยจากโรคนี้นะ เพราะยังมีฝนตกอยู่ทำไห้ยุงยังแพร่พันธุ์ได้ดี โรคนี้เกิดจากการโดน "ยุงลาย" กัด และ "ยุงลาย" เป็นพาหะนำโรคชั้นดีเลย
     การป้องกัน ระวังอย่าให้ยุงลายกัด เจอภาชนะที่มีน้ำขังก็ให้เทน้ำทิ้งและคว่ำภาชนะไว้ ถ้ามีกระถางเลี้ยงไม้น้ำไว้ ก็ควรหาปลามาเลี้ยงเพื่อให้กินลูกน้ำ ไม่ว่าจะโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำควรมีฝาปิด  และอาจจะให้การพ่นยาฆ่ายุงด้วยก็ได้
     อาการของโรคไข้เลือดออก จะมีข้ขึ้นสูง 2-7 วัน ปวดตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ คลื่อนส้ อาเจียน และมีจะแดงๆขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์   
      ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกร็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร 

โรค

     3. การเกิดภูมิแพ้
     ในสภาพอากาศที่ชืน  เป็นต้วการสำคัญที่ทำให้เชื้อโรคเพาะพันธุ์ และแพร่กระจายได้ดี จึงทำให้อาการภูมิแพ้ที่เป็นอยู่กำเริบได้ ในที่นี้จะพูดถึงสาเหตุที่มาจากสัตว์เลี้ยงของคุณ  ในช่วงนี้คุณต้องดูแลรักษาความสะอาดของสัตว์เลี้ยงของคุณให้ดี เช่น การอาบน้ำบ่อยๆ การเก็บมูลของมันเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้ และควรจัดอาณาเขตให้ดี เพื่อลดการเสี่ยง 

โรค

     4. เชื้อรา
     ความเปียกชืนจากการโดนฝนมา ต้องรีบอาบน้ำ สระผม และทำให้แห้งโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยไว้จะทำให้เกิดเชือราขึ้นได้ และอย่าลืมทาครีมบำรุงผิวด้วยนะ เพื่อป้องกันผิวแห้ง
     
     5. ท้องเสีย และมะเร็ง 
     เกิดจากอาหารที่ตากแห้งได้รับความชื้น หรือตากไม่แห้ง จึงทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ เมื่อเรากินเข้าไป จะทำให้ท้องเสีย และก็เป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งด้วย  

โรค


    ในช่วงปลายฝนต้นหนาว เราควรรักษาสุขภาพให้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ ระวังเรื่องอาหารการกิน  ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ก็จะทำให้คุณลดความเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บได้




*****
อ้างอิง         นิตยสาร Lisa
ขอขอบคุณ  Internet  
 
      

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตรียมแฟชั่นรับลมหนาว



เตรียมให้พร้อม ก่อนลมหนาวจะมาเยือน
 
เสื้อคาร์ดิแกน
   
        ปลายเดือน ตุลาคม ก็จะเริ่มมีลมหนาวพัดเข้ามาบ้านเราแล้ว สาวๆ ต้องเตรียมพร้อมกับอากาศที่เย็นสบาย หรืออาจจะหนาวสำหรับการหลายๆ คน และที่สำคัญคือการเตรียม เสื้อกันหนาว สวยๆ ไว้อวดกัน เพราะนานๆ ที่จะได้รู้สึกอย่างนี้บ้างและสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงก่อนการตัดสินใจหาเสื้อกันหนาวมาอวดกันซักตัว
     1.  ให้รู้ไว้เลยนะว่าบ้านเราไม่ได้หนาวมากอย่างที่คิด  อาจจะมีบางช่วงที่ร้อน เช่น   ตอนกลางวัน เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกเสื้อกันหนาวแบบที่เป็นสวมทับจะดีกว่า ถ้าเราเจออากาศร้อนยังสามารถถอดออกได้
2.  ถ้าต้องอยู่ในห้องแอร์ ก็ควรเตรียมผ้าพันคอ หรือแจ็กเก็ตหนาๆไว้สักตัว เพราะอากาศในห้องแอร์จะหนาวกว่าอากาศด้านนอก   
3.  การเลือกเนื้อผ้าสำหรับเสื้อกันหนาว ก็มีส่วนสำคัญนะ ต้องเลือกที่เหมาะกับอากาศบ้านเรา  
          - สำหรับใครที่ชอบผ้า ที่มีเนื้อนุ่ม อบอุ่นหน่อย ก็ต้องเลือกผ้า ฝ้ายสำลี และผ้าชนิดนี้ใช้ทำชุดนอนจะทำให้คุณรู้อบอุ่น นอนหลับได้สบาย
          - ถ้าใครชอบเนื้อผ้าที่เป็นแบบถัก มีความยึดหยุ่นสูง ใส่สบายเพราะอากาศถ่ายเทได้สะดวก การดูแลรักษาก็ง่าย ก็ต้องเลือก ผ้านิต
          - ถ้าเป็นใยสังเคราะห์ ก็จะมีหลายชนิด จะเป็นพวกโพลีเอสเตอร์ ผ้ายึด ไลคลา และอีกหลายประเภท และบางประเภทจะสามารถเก็บความร้อนได้ดี เหมาะกับการไปที่ที่หนาวมากๆ เช่น ตามยอดเขา ยอดดอย เป็นต้น
          - ถ้าใครที่ชอบผ้าค็อคตอน ก็ควรเลือกเป็นเสื้อไหมพรม
          - บางคนชอบเป็นแบเสื้อขนสัตว์ ต้องระวังนะคะ เพราะว่าถ้าอากาศไม่หนาวมาก จะทำให้คุณรู้สึกคันได้
    4.  อันนี้ก็เหมาะกับสาวๆ เลย เรื่องของสีสัน ตามปกติ บ้านเราชอบที่เป็นสีสันสดใส ทำให้ดูแล้วสดชื่น แต่กลับกันในต่างประเทศ จะชอบสีที่ทึบๆ เช่นสีดำ สีเทา เป็นต้น เพราะจะทำให้ใส่แล้ว ดูสุขม ภูมิฐาน และใส่ได้หลายโอกาส
     5.  เลือกแบบที่ฮิตได้ตลอดกาล เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องเสียเงินบ่อย เพื่อตามแฟชั่น
          - ที่ฮิตติดอันดับตลอดกาล คงต้องเป็นสูท เพราะใส่ได้ทุกสถานที่ และทุกโอกาส
          - ถ้าจะให้ดี น่าจะเลือกเสื้อคาร์ดิแกน ที่มีกระดุมด้านหน้า  เพราะแค่คุณสวมเสื้อคอกลมด้านในแล้วสวมเสื้อทับ แค่นี้ก็ดูดีแล้ว และเป็นเนื้อผ้าหนาๆหน่อย

เรามาดูแลรักษาเสื้อตัวสวยของเราดีกว่า
1.  การซัก ควรดูฉลากด้านในของเสื้อว่า มีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง เช่น ให้ซักแห้ง หรือห้ามใช้นำยาซักผ้าขาว เป็นต้น
2.  ควรใช้นำยาปรับผ้านุ่มทุกครั้งที่ซัก เพราะจะทำเสื้อตัวเก่งของคุณนุ่ม และมีเนื้อผ้าที่ฟูเหมือนตอนแรกซื้อ
3.  ไม่ควรบิดเด็ดขาด และเวลาตาก ไม่ควรใช้ไม้แขวนเสื้อ แค่บีบให้สะเด็ดน้ำ และวางบนตะแกรงแตกก็พอ จะได้ไม่ทำให้ผ้าเสียทรง และเวลาแห้งก็ม้วนเก็บไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี

             แค่วิธีง่ายเท่านี้ คุณก็จะได้เสื้อกันหนาวตัวโปรด ไว้ใส่อวดกันได้นาน เพียงแค่เรารู้จักการดูแลรักษาดี และในหน้าหนาวนี้อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีเพื่อป้องก้นการไม่สบายได้ และต้องดูแลผิวหน้าของเราให้สวยเสมอตลอดหน้าหนาวนะคะ    


*****
อ้างอิง   นิตยสาร ญ. หญิง
ขอขอบคุณ   ภาพจาก Internet